ช่วงเทศกาลสงกรานต์คนที่ไปทำงานต่างถิ่นก็กลับมาเยี่ยมบ้าน เป็นการนัดรวมญาติกันเลยก็ว่าได้ เหมียว หนูนา เป้ และเปี๊ยก นัดกันกลับบ้านเพื่อจะได้เจอกัน  เมื่อทุกคนล้อมวงกินข้าวกันตอนเย็นก็เล่าถึงวีรกรรมเมื่อตอนเด็กๆอย่างสนุกสนาน ย้อนหลังไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ในสังคมชนบทที่ยังห่างไกลความเจริญ ช่วงปิดเทอมในฤดูร้อนเป็นช่วงที่เด็กๆในหมู่บ้านรอคอย เพราะอีกเดือนกว่าๆก็จะเข้าเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะแก๊งค์ของเหมียว หนูนา เจ้าเป้ เจ้าเปี๊ยก  ลูกพี่ลูกน้องที่เกิดไร่เรี่ยกัน  ตามบ้านนอกชนบทถ้าไม่ได้ไปโรงเรียนเด็กๆต้องช่วยงานบ้าน และมีวีรกรรมในช่วงปิดเทอม

      เริ่มที่เจ้าเป้ที่ต้องเฝ้าวัวให้กับพ่อ  และเจ้าเป้ก็ไม่พลาดที่จะตามชาวแก๊งค์ให้ไปด้วย ทุ่งหน้าอันกว้างใหญ่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นตามธรรมชาติพอใช้เป็นร่มเงา ใกล้ๆกันก็มีหนองน้ำธรรมชาติซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ  เจ้าเป้ต้อนวัวไปใกล้ๆหนองน้ำเพื่อจะได้เห็นเวลาเล่นน้ำ ซึ่งพ่อของเป้กำชับนักกำชับหนาว่าห้ามเล่นจนลืมดูวัวเด็ดขาด เพราะพ่อไม่ได้คล้องเชือกผูกวัวไว้ไม่งั้นโดนตีหลังลายแน่  เสียงเด็กๆหัวเราะเล่นเจี๊ยวจ้าวกันที่หนองน้ำอย่างมีความสุข ใกล้ๆหนองน้ำมีต้นไม้ใหญ่และเครือเถาวัลย์เด็กๆโหนเถาวัลย์เหมือนทาซานและปล่อยตัวลงไปในน้ำอย่างสนุกสนาน บ้างก็ดำผุดดำไล่จับกันในน้ำ จนเจ้าเป้ลืม “วัว”  เจ้าเป้ยังหัวเราะดำผุดดำว่ายอยู่คนเดียวยังไม่สังเกตเห็นเพื่อนๆยืนนิ่งหันไปในทางเดียวกัน  และคนที่อยู่ข้างหลังเป้คือพ่อของเขาเองที่ยืนถือไม้เรียวอยู่บนขอบหนองน้ำ ทุกคนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เจ้าเป้ก็ไม่รอวิ่งก่อนเดี๋ยวค่อยมาง้อพ่อทีหลัง สรุปว่าเจ้าเป้และเพื่อนๆไม่ได้ดูวัว จนกระทั่งวัวเข้าไปแปลงผักของเพื่อนบ้านซึ่งห่างหนองน้ำไปเกือบ 500 เมตร  สรุปวันนั้นเจ้าเป้โดนไม้เรียวไป 5 ที พร้อมกับเสียงบ่นของพ่อ เพื่อนๆได้แต่ให้กำลังใจเจ้าเป้อยู่ใต้ถุนบ้าน สภาพเจ้าเป้เดินลงมาน้ำตาไหลนองเพราะเจ็บหลัง แต่เมื่อเพื่อนๆเอาน้ำแข็งมาแบ่งให้กินเจ้าเป้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งน้ำแข็งเป็นสิ่งหายากมาก และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง

             ต่อมาเป็นวีรกรรมของหนูเหมียว คนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม หนูเหมียวเป็นที่รักของผู้ใหญ่ระแวกนั้นเพราะหนูเหมียวเรียบร้อย น่ารัก พูดจาเพราะ และเป็นเด็กมีน้ำใจ วันนึงหนูเหมียวอาสาพาคุณทวดไปวัดในหมู่บ้าน เพราะหนูเหมียวรู้ดีว่าที่วัดมีขนมอร่อยๆเยอะ และเหมือนเคยชาวแก๊งค์ไม่พลาดที่ติดตามไปด้วย ก่อนไปแม่หนูเหมียวได้เตือนเด็กๆไม่ให้เสียงดังในวัด และห้ามก่อเรื่อง ทุกคนก็รับปาก ระหว่างอยู่ในวัดเป็นไปได้ด้วยดีเพราะเด็กๆได้กินขนม จึงไม่วิ่งซน เมื่อขากลับทุกคนช่วยกันถือของให้คุณทวดคนละไม้คนละมือ เสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวตามประสาเด็ก ขากลับคุณทวดบอกให้กลับอีกทางเพราะจะแวะเอายานวดไปให้เสี่ยว (เพื่อน) ของย่าทวด แต่เด็กๆไม่อยากไปเพราะทางผ่านจะมีบ้านของลุงป้อมเลี้ยงหมาไว้ตัวนึงตัวใหญ่มาก ชื่อเจ้าไนกี้ พันธุ์บางแก้ว ดังนั้นเด็กๆจึงเงียบจนแทบจะไม่คุยกันเมื่อกำลังผ่านบ้านหลังนั้น แต่ทว่าหนูเหมียวดันเหลือบตาไปมองเห็นงูเขียวตัวน้อยอยู่บนรั้วบ้านของลุงป้อม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตัวของเธอนัก หนูเหมียวร้องกรี้ดขึ้นสุดเสียง เจ้าไนกี้ก็วิ่งมาจากบ้านและเห่าเสียงดังไปทั้งซอย เด็กๆกลัวจนวิ่งแตกกระเจิงกันไปคนละทางไม่เว้นแม้แต่หนูเหมียว หนูเหมียววิ่งร้องไห้จนไปถึงบ้าน แม่ได้ยินเสียงออกมารับด้วยความตกใจ แต่ที่ตกใจไปกว่านั้นคือ “คุณทวดอยู่ไหน?”  และเมื่อรู้ว่าเด็กๆวิ่งหนีสุนัขโดยทิ้งคุณทวดไว้หนูเหมียวก็โดนไม้เรียวไป 2 ที โชคดีที่เจ้าของผูกเจ้าไนกี้ไว้คุณทวดอายุเยอะแล้วหูฟังไม่ค่อยได้ยินเสียงเจ้าไนกี้ แกเดินไปจนถึงบ้านเพื่อนแต่หันมาอีกทีไม่เจอเด็กๆ จึงเข้าใจว่าเด็กๆไปเล่นซนตามประสา เรื่องของหนูเหมียวก็ผ่านไป

               มาถึงคิวเจ้าเปี๊ยก เจ้าเปี๊ยกตัวเปี๊ยกสมชื่อ เป็นคนที่เด็กสุดและตัวเล็กสุดในกลุ่ม และทำอะไรเชื่องช้าที่สุดในกลุ่ม เจ้าเปี๊ยกเป็นน้องแท้ๆของหนูนา พี่สาวไปไหนเจ้าเปี๊ยกก็จะตามไปด้วยทุกที่ หลังจากที่รู้ว่าเจ้าเป้และหนูเหมียวโดนไม้เรียวแล้ว เจ้าเปี๊ยกก็กลัวจนตัวสั่นไม่อยากโดนเหมือนพี่ๆ จึงระวังตัวสุดๆ บ้านของหนูนาและเจ้าเปี๊ยกเปิดร้านขายของชำที่หน้าบ้านและเป็นร้านเดียวในหมู่บ้าน ทุกเช้าจะมีชาวบ้านมาชุมนุมกันเพื่อซื้อของและถามสารทุกข์สุขดิบกัน เป็นศูนย์รวมของคนในหมู่บ้านที่แวะเวียนมาประจำ เช้านี้ก็เช่นเดียวกัน เจ้าเปี๊ยกนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านได้ยินเสียงลุง ป้า น้า อา คุยกันถึงเรื่องบ้านยายปลิกหลังหมู่บ้านว่าแกป่วยมานานไร้ลูกหลานดูแล เจ้าเปี๊ยกก็ฟังอย่างตั้งใจเพราะเคยไปที่นั่นเพื่อขโมยมะยมชิดที่แสนอร่อยแต่ไม่ทันได้กินก็โดนยายปลิกไล่ตะเพิดออกมาตลอด เมื่อได้ยินว่ายายปลิกป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อเจ้าเปี๊ยกก็ไม่รีรอชวนชาวแก๊งค์ไปทันที มะยมชิดลูกสีเหลืองนวล ขนาดเขื่อง ลูกดกเต็มต้น เห็นแล้วก็น้ำลายไหล พี่ๆตัวโตเกินที่จะปีนรั้วเพื่อเก็บมะยมชิดจึงให้เจ้าเปี๊ยกขี่คอเจ้าเป้ โดยมีหนูเหมียวและหนูนารอเก็บอยู่ด้านล้าง เจ้าเปี๊ยกจับกิ่งที่ใหญ่ที่สุดไว้เพื่อเป็นยึด เป้าหมายคือพวงมะยมชิดที่ใหญ่ที่สุด แต่ทันใดนั้นเสียงไล่ตะเพิดก็ดังมาจากในบ้าน พร้อมกับไม้กวาดที่ปลิวมาอย่างเร็ว “ไหนว่ายายปลิกป่วยไงวะ” เจ้าเป้อุทานออกมาอย่างเร็ว แต่ก็ไม่เร็วเท่าสองสาวที่วิ่งไปไกลแล้ว เจ้าเป้ก็ไม่รอช้าสละเรือทิ้งให้เจ้าเปี๊ยกลอยต่องแต่งอยู่บนกิ่งมะยมชิด  และเย็นวันนั้นเจ้าเปี๊ยกก็โดนไม้เรียวไปตามระเบียบ เพราะยายปลิกพามาส่งที่บ้านพร้อมกับเล่าทุกอย่างให้ฟัง และหนูนาก็โดนพ่วงไปด้วยเพราะไม่ห้ามน้อง

          วีรกรรมนี้ทุกคนต่างก็จำได้ดี เมื่อคิดถึงก็มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่ทุกคนโดนไม้เรียวกันหมด  และเมื่อถึงวัยทำงานทั้ง 4 คนไม่เคยขาดการติดต่อกันเลยหลังจากที่เรียนจบและแยกย้ายกันเพื่อหางานทำ มิตรภาพที่แสนดีในช่วงวัยเด็ก ส่งผลจนถึงวัยทำงานที่ยังคงคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ  ข้าวเย็นที่แสนจะอบอุ่นและมีความสุขล้อมวงกินกันด้วยกับข้าวที่ทำกินเองแบบง่ายๆ  แต่กลับแสนพิเศษสำหรับคนทั้ง 4 ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง