ณ ชุมชนแห่งหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่งทำท่าทำทาง เหมือนคนสติไม่ดี เดินร้องเพลงเข็นรถเข็น ไปตามถนนต่างๆในชุมชน ใช่แล้วเขาคือ คุณลุงเก็บขยะ ที่ใครหลายๆคนเห็นชายชราคนนั้นก็รังเกียจ
คุณลุงเก็บขยะผู้โชคร้าย ถูกคนอื่นหาว่าเป็นคนบ้าบ้าง หาว่าเป็นคนสติไม่ดีบ้างต่างๆตามแต่จะสรรหามาด่า บางคนก็รังเกียจที่ชายชราคนนั้นเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ทุกๆเช้าจนถึงตอนเย็น คุณลุงจะเดินเก็บขยะไปตามทางเรื่อย และเมื่อถึงเวลาพักคุณลุงก็จะนั่งร้องเพลงอย่างมีความสุข ในขณะที่คนทำงานร่ำรวยทะเลาะกันอยู่ในบ้าน ชายชรายาจกคนนี้ กลับมีอารมณ์ร้องเพลงทั้งที่ตัวเองเป็นคนยากไร้ สร้างความประหลาดใจให้แก่คนที่พบเห็นอย่างมาก บางวันคุณลุงเจอคนพเนจรเดินผ่านมา คุณลุงก็แบ่งปันอาหารให้ด้วยเมตตาที่ดี และใช้ชีวิตอยู่ในเพิงพักหลังเล็ก ไร้คนสนใจและไม่มีความหมายในชุมชนนั้นเลย จนวันหนึ่งคุณลุงหายไป สิ่งที่ทำให้ทุกคนสลดใจ ก็คือขยะที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในชุมชนนั้น ถึงแม้จะมีเทศบาลมาเก็บทุกๆเช้าแต่ก็ไม่สะอาดเหมือนตอนที่คุณลุงอยู่ ทุกคนจึงเริ่มคิดถึงคุณลุง ชายชราที่เดินร้องเพลงเก็บขยะไปตามทาง ผู้นำชุมชนเมื่อเห็นคุณลุงหายไปก็ออกตามหาคุณลุง จนพบว่าคุณลุงนั้นไม่สบายและพักตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จึงได้เข้าไปหาคุณลุง และสอบถามความเป็นมา ทุกๆคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อคุณลุงไม่สบาย ขยะในชุมชนนั้นมากมายขึ้นเหลือเกิน อาจเป็นเพราะคุณลุงไม่ได้เก็บขยะเหมือนเดิม คุณลุงจึงบอกไปว่า “ขยะไม่ได้เยอะขึ้น เพราะลุงไม่ได้เก็บขยะ แต่เป็นเพราะทุกคน ทิ้งขยะไม่เป็นที่ และทิ้งขยะมากเกินไปต่างหาก ที่ลุงเก็บขยะไปขายไม่ใช่เพราะลุงอยากได้เงินจากการขายขยะ แต่เป็นเพราะลุงอยากให้บ้านเมืองของเราสะอาดสะอ้าน ลุงยอมเป็นคนมอมแมมสกปรกเพื่อทำให้บ้านนี้เมืองนี้สะอาดขึ้น ดีกว่าตัวเราสะอาดแล้วบ้านเมืองของเราสกปรก” เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็อึ้งไปตามๆกัน และฉุกคิดขึ้นมาได้ คุณลุงยังให้แง่คิดกับคนที่ไปคุยกับคุณลุงอีกหลายอย่าง และจากนั้นมาชุมชนแห่งนั้น จะมีชายชราเดินเข็นรถฮัมเพลงไปตามทางเก็บขยะไปเรื่อยๆ และเมื่อคนชุมชนเห็นดังนั้น ก็จะช่วยกันเก็บขยะไปพร้อมกับคุณลุง ในชุมชนแห่งนั้นจึงกลายเป็นชุมชนที่แสนสะอาด เสมอมา “ผ้าขี้ริ้วแม้ว่ามันจะสกปรกสักเพียงใด แต่อย่าลืมว่ามันชำระสิ่งต่างๆให้สะอาดขึ้น”